ริมแม่น้ำปากพนัง

"หมู่บ้านปากพนัง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช"

หมู่บ้านคีรีวง

"หมู่บ้านคีรีวง อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช"

เขาพลายดำ

"แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์แห่งทะเลใต้ เป็นเขาที่มีลักษณะเป็นภูเขาที่ติดทะเลตรงแนวรอยต่อ เขตอำเภอขนอมและอำเภอสิชล อยู่ห่างจากตัวเมือง นครศรีธรรมราช ประมาณ 86 กม."

ตัวเมืองนครศรีธรรมราช

"ตั้งอยู่ในตัวเมืองนครศรีฯ เป็นแหล่งที่เที่ยวอีกที่หนึ่งที่ใครไปนครศรีฯก็ต้องผ่านสถานที่แห่งนี้."

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร

"เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สำคัญในจังหวัดนครศรีฯ ตั้งอยู่ที่ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช "

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หมู่บ้านอากาศดีที่สุดในประเทศไทย


  • ประวัติศาสตร์ บ้านคีรีวง

ชุมชนคีรีวงได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณนี้มากว่า ๒๐๐ ปีแล้ว ในอดีต ชุมชนนี้เรียกว่า “บ้านขุนน้ำ” เนื่องเพราะว่าชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณต้นน้ำของเขาหลวง อันเป็นส่วนหนึ่งเทือกเขานครศรีธรรมราช ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านคีรีวง” ตามชื่อวัดที่สร้างขึ้นมา ซึ่งมีความหมายว่า “บ้านที่อยู่ภายในวงล้อม(วง) ของภูเขา (คีรี)” จากการสนทนากับกลุ่มผู้อาวุโสในชุมชนคีรีวง เพื่อค้นหาประวัติความเป็นมาของการตั้งถิ่นฐาน พบว่ามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งชุมชนอยู่หลายแบบด้วยกัน คือ
ก. การหนี “สัก” จากเมืองนครศรีธรรมราช ในสมัยอดีตนั้น คนไทยชั้นล่างหรือผู้ถูกปกครองทุกคนต้องขึ้นอยู่กับเจ้านายผู้ปกครอง และจะต้อง “สัก” ว่าขึ้นอยู่กับเจ้านายคนไหน ทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องการเป็นไพร่ได้หนีเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตป่า ที่ทุรกันดารและยากต่อการค้นหา และบรรพบุรุษของชาวคีรีวงก็เป็นกลุ่มคนดังกล่าวข้างต้น โดยบางกลุ่มถึงกับหนีไปอาศัยอยู่บริเวณต้นน้ำของคลองปง
ข. การเข้ามาสร้างวัดของคน “ย่านยาว” กลุ่มผู้อาวุโสเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านจากบ้านย่านยาวได้เข้ามาหาเชือกเพื่อนำ ไปทำ “นบชักปลา” และได้มาเจอเจดีย์เก่า ชาวบ้านย่านยาวจึงได้ตั้งถิ่นฐานและสร้างวัดขึ้นบริเวณนั้น
ค. การหนีเข้ามาอยู่ป่าพร้อมกับพระพุทธรูป เกิดขึ้นในสมัยที่ทางกรุงเทพฯ ได้ขอพระพุทธรูปสิหิงค์จากเจ้าพระยานครศรีธรรมราช ทำให้ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้นำพระพุทธรูปฯ มาซ่อนไว้ในชุมชนคีรีวง
ง. การเป็นทหารผ่านศึกแล้วได้รับการปูนบำเหน็จ เป็นกลุ่มทหารที่ไปรบที่เมืองไทรบุรี เมื่อรบชนะข้าศึก ทางบ้านเมืองจึงได้ปูนบำเหน็จ โดยการมอบผู้หญิงมุสลิมให้เป็นภรรยาและมอบที่ดินบริเวณชุมชนคีรีวงให้กว่า ๔๐๐ ไร่
จ. การหนี “สัก” จากพม่า ในสมัยที่พม่าได้เข้ามายึดครองเมืองไทย และได้จับคนไปเป็นเชลยโดยการทำการ “สัก” หน้าเชลยเป็นเครื่องหมายไว้ จึงได้มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งหนีการ “สัก” ขึ้นมาอยู่บริเวณชุมชนคีรีวงปัจจุบัน (นัยนา ทองศรีเกตุ, ๒๕๔๕) จากเรื่องเล่าของกลุ่มผู้อาวุโสถึงสมัยยุคเริ่มแรกของการตั้งถิ่นฐานดัง กล่าวข้างต้น ประกอบกับการสืบค้นตระกูลของกลุ่มผู้ก่อตั้งชุมชน ซึ่งบางคนก็บอกว่ามีอยู่ ๗ ตระกูล และบางคนก็บอกว่ามีมากกว่า ๗ ตระกูล นั้น อาจสันนิษฐานได้ว่ามีการอพยพโยกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่เป็นระยะๆ ของคนกลุ่มต่างๆ ไม่ใช่การอพยพมาอาศัยอยู่พร้อมกัน 

หมู่บ้านคีรีวง หมายความว่าหมู่บ้านที่รายล้อมด้วยภูเขาเป็นที่เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นตามชื่อ วัดประจำท้องถิ่นคือวัดคีรีวงนั่นเอง เดิมหมู่บ้านคีรีวงมีชื่อว่า “บ้านขุนน้ำ” เพราะที่ตั้งของหมู่บ้านอยู่ใกล้กับต้นน้ำจากยอดเขาหลวง บนเทือกเขานครศรีธรรมราช ด้วยเหตุนี้จึงมีลำคลองไหลผ่านหมู่บ้านหลายสายด้วยกัน แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียง 3 สายเท่านั้นเนื่องจากลำคลองบางสายได้ตื้นเขินลงไป ลำคลองทั้ง 3 สาย ได้แก่ คลองปง คลองท่าหา และคลองท่าชาย ลำคลองทั้งสามไหลมาบรรจบรวมกันที่หน้าหมู่บ้านมีชื่อว่า “คลองท่าดี” ซึ่งเดิมมีชื่อว่า คลองขุนน้ำ โดยเปลี่ยนชื่อเป็นคลองท่าดีหลังจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2531 โดยกรมชลประทาน แต่ผู้สูงอายุลาวบ้านยังคงเรียกคลองขุนน้ำจนถึงปัจจุบัน คลองท่าดีเป็นลำคลองขนาดใหญ่ที่สุดซญึ่งไหลลงทะเลที่บ้านปากนครและปากพนัง ชาวบ้านจึงใช้เป็นเส้นทางในการคมนาคมข่นส่งโดยใช้เรือเหนือเป็นพาหนะในการ เดินทาง และใชเรือเหนือในการบรรทุกผลม้และพืชสวนต่าง ๆ อีกมากมาย เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน สะตอ และหมาก เพื่อไปแลกเปลี่ยนกับข้าวสาร เกลือ กะปิ และอาหารทะเลอื่น ๆ กับชาวอำเภอหัวไทรและชาวอำเภอปากพนังโดยชาวคีรีวงเรียกพวกเขาว่า “พวกนอก”และเรียกตัวเองว่า ”พวกเหนือ” จากการติดต่อปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันจนเกิดคำเรียนขานใหม่ว่า “เกลอเขา เกลเล”
 

หมู่บ้านคีรีวงมีทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ พืชพันธ์ต่างๆ สามารถเจริญเติบโตได้ดี ดังนั้ชาวบ้านส่วนใหญ่จึงประกอบอาชีพทำสวนผลไมซึ่งเรียกว่า “สวนสมรม” แต่เดิมมีชื่อว่า สวนอาสินสวนสมรมคือสวนที่ปลูกผลไม้และผักหลายๆชนิดในพื้นที่เดียวกันซึ่ง บ่งบอกถึงวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของชาวคีรีวงสวนสมรมมีควาเก่าแก่กว่าหลาย รอยล้านปีโดยมีการสันณิษฐานกันว่ามีการทำสวนสมรมมาตั้งแต่บรรพชน 
หมู่บ้านคีรีวงเป็นหมู่บ้านอันเก่าแก่ซึ่งแต่เดิมมีอยู่เพียง 20 หลังคาเรือนและปัจจุบันได้ขยายเป็น 700 กว่าหลังคาเรือนหลักฐานการก่อสร้างหมู่บานนั้นยังไม่ชัดเจนมีการสันณิษฐาน ไว้ 3 สาเหตุด้วยกัน ดังนี้

1.จากกลุ่มคนที่หนีจากโรคระบาดหรือไข้ทรพิษจากในตังเมืองนคร
2.จากกลุ่มคนที่พยายามอพยพจากในตังเมืองมาประกอบอาชีพและตั้งรกรากขึ้น
3.จากกลุ่มคนที่รักอิสระจึงไดรวมตัวกันก่อตั้งหมู่บ้านขึ้น

ต้นไม้ประจําจังหวัดนครศรีธรรมราช

ต้นแซะ



  • ลักษณะ
พบตามป่าดิบชื้น  สูงจากระดับน้ำทะเล  ๑๐-๑๕ เมตร เป็นไม้ต้นสูง ๒๐-๓๐ เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทึบ เปลือกสีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นสะเก็ด ล่อนเป็นแผ่น ใบประกอบรูปขนนก ใบย่อยออกตรงกันข้าม ๓-๕ คู่ และมีใบย่อยปลายก้านอีก  ๑  ใบ  แผ่นใบย่อยรูปขอบขนานแกมหอก  กว้าง ๓-๘ เซนติเมตร ยาว ๘-๑๘ เซนติเมตร ดอกรูปดอกถั่ว  ยาวประมาณ  ๒  เซนติเมตร  ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง  ประมาณเดือนมกราคม-เมษายน สีแดงแกมม่วงทึบ กลิ่นหอม ผลเป็นฝัก กว้าง ๔-๕ เซนติเมตร ยาว ๕-๑๐ เซนติเมตร มี ๑-๓ เมล็ด สีน้ำตาล กลมรี ขนาดกว้าง ๓.๕ เซนติเมตร ยาว ๕ เซนติเมตร ขยายพันธุ์โดยเมล็ด

  • ประโยชน์
เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้างทั่วไป   แต่ไม่ได้รับความนิยมเพราะเนื้อไม้เป็นที่ชอบของมอดและแมลง   โดยมากมักใช้ทำฟืนและถ่าน ยอดอ่อนนิยมรับประทานเป็นผักสด

ศาลหลักเมือง











สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานหลักเมือง ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสร้างสิ่งสำคัญทางประวัติศาสตร์ในจังหวัดนครศรีธรรมราชร่วมกับภาคเอกชนก่อสร้างศาลขึ้นบนที่ดินราชพัสดุ บริเวณทิศเหนือของสนามหน้าเมือง เนื้อที่ 2 ไร่ ประกอบด้วยอาคาร5 หลัง หลังกลางเป็นที่ประดิษฐานของศาลหลักเมือง ออกแบบให้มีลักษณะ คล้ายศิลปะศรีวิชัย เรียกว่าทรงเหมราชลีลา

วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร





  • พ.ศ. 854 เจ้าชายทนทกุมารและพระนางเหมชาลา และบาคู (แปลว่า นักบวช) ชาวสิงหล ได้สร้างวัดพระบรมธาตุวรมหาวิหาร เจดีย์องค์เดิมเจดีย์แบบศรีวิชัย คล้ายเจดีย์กิริเวเทระ ในเมืองโบโลนนารุวะ ประเทศศรีลังกา
  • พ.ศ. 1093 พระเจ้าจันทรภาณุ ได้ทำการสร้างเมืองนครศรีธรรมราชขึ้น พร้อมกับการก่อสร้างเจดีย์ขึ้นใหม่ เป็นเจดีย์แบบศาญจิ
  • พ.ศ. 1770 พระเจ้าจันทรภาณุ ได้บูรณะพระบรมธาตุเจดีย์ เจดีย์แบบลังกา ทรงระฆังคว่ำ หรือ โอคว่ำ มีปล้องไฉน 52 ปล้อง สูงจากฐานถึงยอดปลี 37 วา 2 ศอก ยอดปลีของปล้องไฉน หุ้มทองคำเหลืองอร่าม สูง 6 วา (เท่ากับ 2 เมตร) 1 ศอก (เท่ากับ 0.50 เมตร) แผ่เป็นแผ่นหนา เท่าใบลานหุ้มไว้ น้ำหนัก 800 ชั่ง (เท่ากับ 960 กิโลกรัม) รอบพระมหาธาตุ มีองค์เจดีย์ 158 องค์
  • พ.ศ. 2155 และ พ.ศ. 2159 สมัยสมเด็จพระเอกาทศรถมีการซ่อมแผ่นทอง ที่ปลียอดพระบรมธาตุ
  • พ.ศ. 2190 สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ยอดพระบรมธาตุได้ชำรุดหักลง และได้มีการซ่อมสร้างขึ้นใหม่
  • พ.ศ. 2275 - 2301 สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีการดัดแปลงทางเข้าพระสถูปพระบรมธาตุบริเวณวิหารพระทรงม้า
  • พ.ศ. 2312 สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ปฏิสังขรณ์พระอารามทั่วไปภายในวัด และโปรดให้สร้างวิหารทับเกษตร ต่อออกจากฐานทักษิณรอบองค์พระบรมธาตุ
  • สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าพระยานครศรีธรรมราช (พัฒน์) ได้บูรณะพระวิหารหลวง วิหารทับเกษตร พระบรมธาตุที่ชำรุด
  • ปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว บูรณะกำแพงชั้นนอก วิหารทับเกษตร วิหารธรรมศาลา วิหารพระทรงม้า วิหารเขียน ปิดทองพระพุทธรูป
  • พ.ศ. 2457 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ติดตั้งสายล่อฟ้า ยอดองค์พระบรมธาตุเจดีย์
  • พ.ศ. 2515 - 2517 บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และพระอุโบสถ
  • พ.ศ. 2530 ซ่อมกลีบบัวทองคำ ที่ฉีกขาดเปราะบาง เสื่อมสภาพเป็นสนิม เสริมความมั่นคงแข็งแรงที่กลีบบัวปูนปั้น ในวันที่ 28 สิงหาคม 2530 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จอัญเชิญแผ่นกลีบบัวทองคำ ขึ้นประดิษฐบนองค์พระบรมธาตุเจดีย์
  • พ.ศ. 2537 - 2538 บูรณะปลียอดทองคำพระบรมธาตุเจดีย์ และเสริมความมั่นคงปูนแกนในปลียอด ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 50 ล้านบาท สิ้นทองคำ 141 บาท (มาตราชั่ง ตวง วัด ของไทย 1 บาท เท่ากับ 15.2 กรัม)
กรมศิลปากร ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเป็นโบราณสถาน ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 53 ตอนที่ 34 วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2479 และคณะกรรมการมรดกโลก มีมติในการประชุมคณะกรรมการสมัยที่ 37 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556 รับรองวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารเข้าสู่บัญชีเบื้องต้นก่อนเสนอขึ้นทะเบียนมรดกโลก

วันอาทิตย์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำขวัญ




คำขวัญประจำจังหวัดนครศรีธรรมราช

เมืองประวัติศาสตร์  พระธาตุทองคำ ชื่นฉ่ำธรรมชาติ

 แร่ธาตุอุดม เครื่องถมสามกษัตริย์ มากวัดมากศิลป์ครบสิ้นกุ้งปู